Follow us                        เข้าสู่ระบบ     
บริหารโครงการติดตั้งนอกสถานที่: เปลี่ยนต้นทุนบานปลายให้เป็นกำไรด้วย 5 ขั้นตอน
คู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับผู้บริหาร SME ที่จะช่วยคุณควบคุม 'ค่าของ-ค่าแรง' และเห็นกำไรที่แท้จริงของทุกโปรเจกต์
7 July, 2025 by
Taaxteam Post

บทนำ: เมื่อโครงการติดตั้งนอกสถานที่ กลายเป็น ‘หลุมดำ’ ดูดกำไรของธุรกิจ

คุณเคยไหม? ปิดโปรเจกต์ติดตั้งระบบให้ลูกค้าด้วยความราบรื่น ลูกค้าแฮปปี้ ทีมงานดีใจ แต่พอฝ่ายบัญชีสรุปตัวเลข...กำไรกลับบางเฉียบ หรือบางทีถึงขั้นขาดทุน! นี่คือฝันร้ายของผู้บริหาร SME หลายคนที่ต้องเจอกับ 'หลุมดำ' ของการบริหารโครงการติดตั้งนอกสถานที่ ที่ดูดกลืนกำไรไปโดยไม่รู้ตัว

ปัญหานี้มักเกิดจากการที่ข้อมูลกระจัดกระจาย การบริหาร ค่าของค่าแรง แยกส่วนกัน ทำให้เกิดต้นทุนแฝงและค่าใช้จ่ายบานปลายที่ไม่เคยถูกบันทึกไว้ในแผน นี่คือความเสี่ยงทางการเงินที่ใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งที่ฉุดรั้งการเติบโตของธุรกิจบริการ และบทความนี้จะมอบพิมพ์เขียวเพื่อแก้ไขปัญหานี้อย่างเป็นระบบ

เช็กอาการ: ธุรกิจของคุณกำลังเผชิญ ‘ต้นทุนที่มองไม่เห็น’ เหล่านี้อยู่หรือไม่?

ปัญหาการบริหารโครงการที่ไม่มีประสิทธิภาพไม่ได้กระทบแค่ฝ่ายปฏิบัติการหน้างานเท่านั้น แต่ยังส่งผลเป็นโดมิโนไปยังผู้บริหารและฝ่ายการเงินในรูปแบบของตัวเลขที่น่าปวดหัว ลองสำรวจดูว่าองค์กรของคุณมีอาการเหล่านี้หรือไม่

ตำแหน่ง (Stakeholder) ปัญหาที่เจอ (Symptom) ผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact)
CEO / เจ้าของกิจการ ไม่เห็นกำไรที่แท้จริงของโปรเจกต์แบบเรียลไทม์ กังวลเรื่องกระแสเงินสด กำไรหดหายเฉลี่ย 15-20% จากต้นทุนที่คุมไม่ได้, ตัดสินใจทางธุรกิจพลาด
ผู้จัดการโครงการ/ฝ่ายปฏิบัติการ วุ่นวายกับการประสานงาน คุมคน จัดของ และติดตามงานผ่านหลายช่องทาง โปรเจกต์ล่าช้า, แก้ปัญหาหน้างานบ่อย, ลูกค้าไม่พอใจ, เสียเวลาทำรีพอร์ต
ผู้จัดการบัญชี/การเงิน เอกสารต้นทุนไม่ครบถ้วน, กระบวนการวางบิลและเก็บเงินล่าช้า กระแสเงินสดติดขัด (Cash Cycle ยาวนานขึ้น 15-30 วัน), เสียเวลาตามเอกสาร

กางพิมพ์เขียว: 5 ขั้นตอนบริหารโครงการติดตั้งนอกสถานที่ให้ 'กำไร' ไม่ใช่ 'กำแหง'

หัวใจสำคัญของการพลิกสถานการณ์คือการวางกระบวนการทำงานที่เชื่อมโยงกันอย่างชัดเจน ตั้งแต่การประเมินราคาไปจนถึงการวิเคราะห์หลังจบงาน เพื่อให้ทุกฝ่ายทำงานบนข้อมูลชุดเดียวกัน นี่คือ Framework 5 ขั้นตอนที่นำไปปรับใช้ได้ทันที

  1. ขั้นตอนที่ 1: เสนอราคาอย่างแม่นยำ (Accurate Quoting)
    เริ่มต้นจากการถอดปริมาณงาน (BOQ) ทั้งค่าวัสดุ (ค่าของ) และค่าแรงอย่างละเอียด อย่าลืมบวกค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (Overhead) และกำไรที่ต้องการเข้าไปในใบเสนอราคา เพื่อให้มั่นใจว่าราคาที่เสนอไปนั้นครอบคลุมต้นทุนทั้งหมดและมีกำไรเหลือ
  2. ขั้นตอนที่ 2: วางแผนและจัดสรรทรัพยากร (Resource Planning)
    เมื่อได้รับการอนุมัติโครงการแล้ว ให้เริ่มวางแผนโครงการโดยละเอียด สร้าง Task List, กำหนดผู้รับผิดชอบและวันแล้วเสร็จ (Milestone) ที่ชัดเจน พร้อมทั้งจองคิวทีมงานและเบิก/สั่งซื้อวัสดุล่วงหน้าเพื่อป้องกันปัญหาของขาดหรือคนไม่พอ
  3. ขั้นตอนที่ 3: คุมหน้างานและบันทึกต้นทุนเรียลไทม์ (On-site Execution & Tracking)
    นี่คือขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการควบคุมต้นทุนโครงการ โดยให้ทีมงานภาคสนามสามารถบันทึกชั่วโมงทำงานและวัสดุที่ใช้ผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือได้ทันที ข้อมูลนี้จะถูกส่งเข้าระบบส่วนกลาง ทำให้ผู้บริหารเห็นต้นทุนจริงเทียบกับงบประมาณได้แบบเรียลไทม์
  4. ขั้นตอนที่ 4: วางบิลตามงวดงานและเก็บเงิน (Progressive Billing)
    แทนที่จะรอวางบิลทีเดียวตอนจบโครงการ ให้แบ่งการวางบิลตาม Milestone ที่สำเร็จลุล่วง วิธีนี้ไม่เพียงช่วยให้ลูกค้าเห็นความคืบหน้า แต่ยังช่วยปรับปรุงสภาพคล่องและกระแสเงินสดของบริษัทให้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ลองดูตัวอย่าง การสร้างใบแจ้งหนี้ตามโครงการ เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น
  5. ขั้นตอนที่ 5: วิเคราะห์กำไร-ขาดทุนหลังจบโครงการ (Post-Project Analysis)
    หลังจากปิดโครงการและเก็บเงินเรียบร้อยแล้ว ให้นำข้อมูลต้นทุนที่ตั้งใจไว้ (Budget) มาเปรียบเทียบกับต้นทุนที่เกิดขึ้นจริง (Actual Cost) เพื่อวิเคราะห์หากำไร-ขาดทุนที่แท้จริงของโครงการ และสรุปบทเรียน (Lesson Learned) เพื่อนำไปปรับปรุงการประเมินราคาและวางแผนสำหรับโครงการถัดไปให้แม่นยำยิ่งขึ้น

เคล็ดลับสำหรับผู้บริหาร: พลังของ 'ข้อมูลชุดเดียว' (Single Source of Truth)

Framework 5 ขั้นตอนข้างต้นจะเกิดขึ้นจริงและมีประสิทธิภาพสูงสุดได้ ก็ต่อเมื่อมี 'ข้อมูลชุดเดียว' หรือ Single Source of Truth เป็นแกนกลาง นั่นคือการใช้ระบบ ERP สำหรับธุรกิจบริการที่เชื่อมโยงข้อมูลการขาย (CRM), โครงการ (Project), สต็อก (Inventory) และบัญชี (Accounting) เข้าไว้ด้วยกัน ทำให้เมื่อฝ่ายขายปิดดีล ข้อมูลจะถูกส่งต่อเพื่อสร้างโครงการ จัดสรรงบประมาณ และเปิดใบสั่งซื้อได้ทันที โดยที่ฝ่ายบัญชีและผู้บริหารสามารถติดตามสถานะได้ตลอดเวลา

Pro Tip: ทำไม Spreadsheet ถึงไม่ใช่คำตอบ?
แม้จะใช้งานง่าย แต่ Spreadsheet ขาดการเชื่อมโยงข้อมูลแบบเรียลไทม์, ไม่สามารถควบคุมสิทธิ์การเข้าถึงได้ดี, และเสี่ยงต่อความผิดพลาดของมนุษย์ (Human Error) สูงมาก จากข้อมูลของ Project Management Institute (PMI) พบว่าการควบคุมต้นทุนที่ผิดพลาดเป็นสาเหตุหลักของความล้มเหลวของโครงการ การลงทุนในระบบที่ออกแบบมาโดยเฉพาะจึงช่วยลดความเสี่ยงเหล่านี้และสร้างมาตรฐานการทำงานที่ยั่งยืนให้องค์กร

เครื่องมือแบบไหนที่ใช่สำหรับธุรกิจ SME ของคุณ?

การเลือกใช้ โปรแกรมบริหารโครงการ ที่เหมาะสมเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ ควรพิจารณาเลือกเครื่องมือที่มีคุณสมบัติครบถ้วนและตอบโจทย์การทำงานของธุรกิจบริการที่มีการติดตั้งนอกสถานที่โดยเฉพาะ ดังนี้

  • Mobile-First Access: ทีมงานภาคสนามสามารถบันทึกเวลาและเบิกของผ่านมือถือได้สะดวก ทำให้ข้อมูลเป็นปัจจุบันเสมอ
  • Real-time Cost Tracking: ผู้บริหารเห็นต้นทุนจริง (ค่าของ+ค่าแรง) เทียบกับงบประมาณได้ทันที ทำให้ตัดสินใจแก้ไขปัญหาได้รวดเร็ว
  • Inventory Integration: เชื่อมต่อข้อมูลสต็อกสินค้า ทำให้รู้ว่าของพอใช้หรือไม่ และสามารถวางแผนการจัดซื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • Project-based Accounting: สามารถแยกบันทึกรายรับ-รายจ่ายของแต่ละโครงการได้อย่างชัดเจน เพื่อการคำนวณต้นทุนโครงการที่แม่นยำ
  • Workflow Automation: ช่วยลดขั้นตอนการทำงานซ้ำซ้อน เช่น การอนุมัติใบสั่งซื้อ หรือการแจ้งเตือนเมื่อถึงกำหนดส่งงาน เพื่อให้ทีมงานโฟกัสกับงานที่สำคัญได้มากขึ้น

พร้อมเปลี่ยนความวุ่นวายให้เป็นกำไรแล้วหรือยัง?

เริ่มต้นควบคุมต้นทุนและมองเห็นภาพรวมธุรกิจที่ชัดเจนขึ้นวันนี้ ด้วยระบบที่ออกแบบมาเพื่อธุรกิจบริการเช่นคุณ

ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านระบบบริหารโครงการฟรี ดูวิดีโอสาธิตการทำงานของระบบ (Project Management)
Taaxteam Post 7 July, 2025
Share this post
Tags