สต็อกตาย (Dead Stock) คืออะไร? ทำไมจึงเป็นฝันร้ายของธุรกิจ SME
คุณเคยสงสัยไหมว่าทำไมกระแสเงินสดของบริษัทถึงติดขัด ทั้งที่ยอดขายก็ดูเหมือนจะดี? คำตอบอาจซ่อนอยู่ในมุมมืดของคลังสินค้าของคุณในรูปแบบของ สต็อกตาย (Dead Stock) หรือ สินค้าไม่เคลื่อนไหว นั่นเองครับ จากสถิติพบว่าธุรกิจค้าปลีกทั่วโลกสูญเสียรายได้เกือบ 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐจากปัญหาสต็อกบวมและสต็อกขาด ซึ่งแสดงให้เห็นว่านี่ไม่ใช่ปัญหาเล็กๆ เลย
สำหรับ CEO หรือเจ้าของธุรกิจ SME ปัญหา Dead Stock คือฝันร้ายที่แท้จริง เพราะมันหมายถึง เงินทุนหมุนเวียน (Working Capital) ที่ควรจะถูกนำไปใช้ลงทุนเพื่อสร้างการเติบโต กลับถูกแช่แข็งอยู่ในรูปของสินค้าที่ขายไม่ออก กองทับถมกันจนกลายเป็นต้นทุนที่มองไม่เห็นซึ่งกำลังกัดกินกำไรและสภาพคล่องของบริษัทคุณอยู่ทุกวัน
ต้นทุนที่แท้จริงของ Dead Stock: มากกว่าแค่ราคาของบนชั้นวาง
หลายคนมักเข้าใจผิดว่าต้นทุนของ Dead Stock คือราคาของสินค้านั้นๆ แต่ในความเป็นจริง การเก็บสินค้าที่ไม่เคลื่อนไหวไว้ในคลังมีต้นทุนแฝงมหาศาลที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่องบการเงินและประสิทธิภาพการดำเนินงาน ต้นทุนเหล่านี้ประกอบด้วย:
- ต้นทุนการถือครอง (Holding Costs): ค่าเช่าพื้นที่คลังสินค้า, ค่าประกันภัยสินค้า, ค่าจ้างพนักงานดูแล, ค่าไฟ และค่าระบบรักษาความปลอดภัยต่างๆ ที่คุณต้องจ่ายในแต่ละเดือน
- ต้นทุนค่าเสื่อม (Depreciation Costs): มูลค่าของสินค้าที่ลดลงตามกาลเวลา ไม่ว่าจะเป็นสินค้าแฟชั่นที่ตกรุ่น สินค้าเทคโนโลยีที่ล้าสมัย หรือสินค้าอุปโภคบริโภคที่ใกล้หมดอายุ
- ต้นทุนทางการเงิน (Capital Costs): คือต้นทุนของเงินทุนที่จมอยู่กับสต็อกเหล่านี้ ซึ่งไม่สามารถนำไปหมุนเวียนเพื่อสั่งซื้อสินค้าขายดี หรือนำไปลงทุนในโครงการอื่นๆ ได้
- ต้นทุนค่าเสียโอกาส (Opportunity Costs): การเสียพื้นที่อันมีค่าในคลังสินค้าให้กับของที่ขายไม่ออก แทนที่จะได้ใช้พื้นที่นั้นสำหรับสินค้าขายดี และการเสียโอกาสในการนำเงินทุนไปทำการตลาดหรือพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อสร้างการเติบโต
4 ขั้นตอนจับไต๋ 'สินค้าคงคลังจอมอุ้ยอ้าย' ด้วยข้อมูลในมือ
การจะจัดการกับ Dead Stock ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น ต้องเริ่มต้นจากการระบุให้ได้ก่อนว่าสินค้าชิ้นไหนคือ “ผู้ต้องสงสัย” การตัดสินใจโดยใช้ความรู้สึกหรือความคุ้นเคยอาจผิดพลาดได้ง่าย เราจึงขอเสนอ Framework 4 ขั้นตอนที่ใช้ข้อมูลเป็นพื้นฐาน เพื่อให้คุณสามารถวิเคราะห์และระบุสินค้าเหล่านี้ได้อย่างเป็นระบบ
- กำหนดนิยาม 'Dead Stock' ของคุณ: ขั้นตอนแรกที่สำคัญที่สุดคือกำหนดเกณฑ์ที่ชัดเจนสำหรับธุรกิจของคุณ เช่น สินค้าที่ไม่มียอดขายเลยใน 90 วัน, 180 วัน หรือ 365 วัน จะถูกจัดว่าเป็น Dead Stock การมีนิยามที่ชัดเจนจะช่วยให้ทีมงานทุกคนเข้าใจตรงกัน
- รวบรวมข้อมูลสำคัญ: ดึงข้อมูลจากระบบของคุณ โดยข้อมูลที่จำเป็นได้แก่ รหัสสินค้า (SKU), รายละเอียดสินค้า, จำนวนคงคลังปัจจุบัน, วันที่ขายล่าสุดของแต่ละ SKU และยอดขายย้อนหลังในช่วงเวลาที่กำหนด (เช่น 12 เดือน)
- คำนวณอัตราส่วนหมุนเวียนสินค้าคงคลัง (Inventory Turnover Ratio): คำนวณอัตราส่วนนี้เพื่อดูว่าสินค้าแต่ละตัวถูกขายและเติมสต็อกใหม่บ่อยแค่ไหน สินค้าที่มีค่า Turnover ต่ำผิดปกติคือสัญญาณเตือนของสินค้าที่เคลื่อนไหวช้าหรืออาจกลายเป็น Dead Stock ในไม่ช้า
- จัดกลุ่มสินค้าด้วยหลัก ABC Analysis: แบ่งกลุ่มสินค้าตามหลัก 80/20 โดยกลุ่ม A คือสินค้าจำนวนน้อยที่สร้างยอดขายส่วนใหญ่, กลุ่ม B คือระดับกลาง และกลุ่ม C คือสินค้าจำนวนมากแต่สร้างยอดขายน้อย ซึ่งกลุ่ม C นี้เองที่มักเป็นแหล่งรวมของ Dead Stock ที่ต้องได้รับการจัดการอย่างเร่งด่วน
เปลี่ยนสต็อกตายให้เป็นเงินสด: ตารางเปรียบเทียบกลยุทธ์ล้างสต็อก
เมื่อคุณระบุรายการ Dead Stock ได้แล้ว ขั้นต่อไปคือการ ล้างสต็อก หรือ การระบายสต็อก เพื่อเปลี่ยนสินทรัพย์ที่ตายแล้วเหล่านี้ให้กลับมาเป็นกระแสเงินสดให้ได้มากที่สุด ไม่มีกลยุทธ์ใดที่ดีที่สุด แต่มีกลยุทธ์ที่ 'เหมาะสมที่สุด' กับประเภทสินค้าและเป้าหมายของธุรกิจคุณ ลองพิจารณาจากตารางเปรียบเทียบนี้
กลยุทธ์ (Strategy) | ข้อดี (Pros) | ข้อควรระวัง (Cons) | เหมาะสำหรับ |
---|---|---|---|
ลดราคาตรงๆ (Direct Markdown) | ง่าย, รวดเร็ว, ดึงดูดลูกค้าได้ดี | อาจกระทบภาพลักษณ์แบรนด์, กำไรน้อย | สินค้าที่ใกล้หมดอายุหรือตกรุ่นเร็ว |
จัดชุด/บันเดิ้ล (Bundling) | เพิ่มมูลค่าการซื้อต่อบิล, ช่วยระบายสินค้ารอง | ต้องจับคู่สินค้าให้น่าสนใจ | สินค้าที่ใช้ร่วมกันได้ หรือมีสินค้า A เป็น Hero Product |
ซื้อ 1 แถม 1 (BOGO) | สร้างความรู้สึกคุ้มค่าสูง, กระตุ้นการซื้อจำนวนมาก | กำไรต่อชิ้นหายไป, อาจดึงดูดแค่ลูกค้าที่รอของถูก | สินค้าที่มีต้นทุนไม่สูงมากและต้องการระบายอย่างรวดเร็ว |
บริจาค/ทำลาย (Donation/Write-off) | ลดหย่อนภาษีได้, สร้างภาพลักษณ์ที่ดี | ไม่ได้กระแสเงินสดกลับมา | สินค้าที่ไม่สามารถขายได้แล้ว หรือต้นทุนการเก็บสูงกว่ามูลค่า |
ป้องกันดีกว่าแก้: หยุดวงจร Dead Stock ด้วยระบบ ERP อัจฉริยะ
การวิเคราะห์ข้อมูลย้อนหลังเพื่อล้างสต็อกเป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ซึ่งเปรียบเสมือนการวิดน้ำออกจากเรือที่รั่ว แต่สำหรับธุรกิจที่ต้องการเติบโตอย่างยั่งยืน การ 'อุดรอยรั่ว' หรือการป้องกันไม่ให้เกิด Dead Stock ขึ้นอีกในอนาคตคือสิ่งสำคัญที่สุด และนี่คือจุดที่เทคโนโลยีอย่าง ระบบ ERP สำหรับ SME เข้ามามีบทบาทสำคัญ
ระบบ ERP ที่ดีจะช่วยให้คุณสามารถพยากรณ์ความต้องการของลูกค้า (Demand Forecasting) ได้อย่างแม่นยำโดยอิงจากข้อมูลการขายในอดีตและเทรนด์ปัจจุบัน ทำให้คุณสั่งซื้อสินค้าในปริมาณที่เหมาะสม ไม่ขาดและไม่เกิน นอกจากนี้ ระบบจัดการคลังสินค้า (Warehouse Management) ใน ERP ยังสามารถตั้งค่าการแจ้งเตือนอัตโนมัติเมื่อพบว่าสินค้าชิ้นใดเริ่มเคลื่อนไหวช้ากว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ช่วยให้คุณลงมือจัดโปรโมชั่นได้ทันท่วงทีก่อนที่มันจะกลายเป็น Dead Stock
Pro Tip: ผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จไม่ได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการ 'ดับไฟ' จากปัญหาสต็อกตาย แต่พวกเขาใช้ระบบ ERP เพื่อดู 'สัญญาณควัน' ล่วงหน้า ทำให้สามารถตัดสินใจเติมสต็อกหรือจัดโปรโมชั่นได้อย่างแม่นยำก่อนที่ปัญหาจะเกิด
พร้อมเปลี่ยนสต็อกที่ตายแล้วให้เป็นเงินสดหรือยัง?
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเราพร้อมให้คำปรึกษาเชิงลึกเพื่อวิเคราะห์โครงสร้างสต็อกสินค้าของคุณ และวางแผนการนำระบบ ERP มาใช้เพื่อแก้ปัญหา Dead Stock อย่างยั่งยืน เพิ่มสภาพคล่อง และปลดล็อกศักยภาพการเติบโตให้ธุรกิจของคุณ
ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญฟรี ดู Case Study