ทำไมกำไรหดหาย? เปิดโปง 'ต้นทุนแฝง' ที่ซ่อนอยู่ในการนำเข้าสินค้า
คุณเคยเจอสถานการณ์นี้ไหม? คุณนำเข้าสินค้าล็อตใหม่มาด้วยความมั่นใจว่าตั้งราคาขายบวกกำไรไว้ 25% แต่พอสิ้นไตรมาสกลับพบว่าตัวเลขในบัญชีแทบไม่ขยับ หรือแย่กว่านั้นคือขาดทุนเสียอีก นี่คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับเจ้าของธุรกิจ SME จำนวนมาก ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การตั้งราคา แต่เกิดจากการมองข้าม ต้นทุนแฝง สินค้านำเข้า ที่ซ่อนอยู่มากมาย
ราคาที่คุณจ่ายให้ซัพพลายเออร์เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น ความสามารถในการทำกำไรที่แท้จริงขึ้นอยู่กับความเข้าใจใน Landed Cost หรือ ต้นทุนรวมของสินค้า ซึ่งรวมค่าใช้จ่ายทุกอย่างตั้งแต่หน้าโรงงานจนถึงประตูคลังสินค้าของคุณ หากคุณมองข้ามต้นทุนเหล่านี้ ก็เท่ากับว่าคุณกำลังปล่อยให้กำไรที่ควรจะเป็นของคุณรั่วไหลไปอย่างน่าเสียดาย
Landed Cost คืออะไร? ทำไมผู้บริหาร SME ต้องให้ความสำคัญ
Landed Cost คือ ต้นทุนรวมทั้งหมดของสินค้าที่เกิดขึ้นตลอดกระบวนการ ตั้งแต่การสั่งซื้อจากผู้ผลิต ขนส่งข้ามประเทศ ผ่านพิธีการศุลกากร จนกระทั่งสินค้ามาถึงคลังของคุณพร้อมขาย นี่คือตัวเลขที่สำคัญที่สุดในการกำหนดราคาขายที่ถูกต้องและวัดความสามารถในการทำกำไรของสินค้าแต่ละชิ้นได้อย่างแท้จริง การคำนวณที่ผิดพลาดอาจทำให้ CFO หรือผู้จัดการฝ่ายบัญชีประเมินมูลค่าสินค้าคงคลังในงบดุลผิดเพี้ยนไป ซึ่งส่งผลกระทบต่อการวางแผนกระแสเงินสดได้ถึง 20%
ส่วนประกอบหลักของ Landed Cost ประกอบด้วย:
- Cost of Goods: ราคาหน้าโรงงาน หรือราคาตามใบแจ้งหนี้ (Invoice) ที่จ่ายให้ซัพพลายเออร์
- Shipping/Freight: ค่าขนส่งระหว่างประเทศ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ค่าระวางเรือ/เครื่องบิน
- Customs: ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับกรมศุลกากรทั้งหมด เช่น ภาษีอากรขาเข้า และภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
- Insurance: ค่าประกันภัยขนส่งสินค้า เพื่อคุ้มครองความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น
- Handling & Fees: ค่าธรรมเนียมอื่นๆ เช่น ค่าธรรมเนียมท่าเรือ, ค่าเอกสาร (Documentation Fee), ค่าดำเนินการของตัวแทน (Shipping Agent), และค่าขนส่งภายในประเทศจากท่าเรือมายังคลังสินค้า
สูตรคำนวณ Landed Cost ฉบับจับมือทำ ทีละขั้นตอน
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนและสามารถนำไปใช้ได้จริง เรามาดูวิธีการ คํานวณ landed cost แบบทีละขั้นตอน ซึ่งจะช่วยให้ฝ่ายจัดซื้อและฝ่ายปฏิบัติการสามารถควบคุมงบประมาณได้ดีขึ้น ลดปัญหางบขนส่งบานปลายที่เคยสูงกว่าที่ประเมินไว้ 10-30%
- Step 1: รวมต้นทุนสินค้า (Product Cost): เริ่มต้นจากราคาซื้อสุทธิตามใบแจ้งหนี้จากซัพพลายเออร์ แปลงเป็นสกุลเงินบาทโดยใช้อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ทำรายการ
- Step 2: บวกค่าขนส่งและประกัน (Shipping & Insurance): นำค่าระวางทั้งหมดและค่าเบี้ยประกันภัยขนส่งสินค้ามารวมกัน
- Step 3: คำนวณภาษีอากร (Customs & Duties): ขั้นตอนนี้สำคัญมาก คุณต้องใช้พิกัดศุลกากร (HS Code) ที่ถูกต้องของสินค้าเพื่อตรวจสอบอัตราภาษีอากรขาเข้าจากเว็บไซต์ของกรมศุลกากร แล้วคำนวณเป็นจำนวนเงินภาษีที่ต้องชำระ
- Step 4: เพิ่มค่าใช้จ่ายอื่นๆ (Other Fees): รวบรวมค่าใช้จ่ายจิปาถะทั้งหมดที่เกิดขึ้น เช่น ค่าธรรมเนียมท่าเรือ, ค่าดำเนินการของ Freight Forwarder, ค่าเอกสาร, และค่ารถบรรทุกเพื่อขนส่งสินค้าไปยังคลังสินค้าของคุณ
- Step 5: เฉลี่ยต้นทุนต่อหน่วย (Allocate Per-Unit Cost): นำต้นทุนรวมจากขั้นตอนที่ 1-4 มาบวกกันทั้งหมด จากนั้นหารด้วยจำนวนสินค้าทั้งหมดที่นำเข้ามาในล็อตนั้น คุณก็จะได้ Landed Cost ต่อหน่วย ซึ่งเป็นต้นทุนที่แท้จริงของสินค้าแต่ละชิ้น
เทียบชัดๆ: คำนวณด้วย Excel vs. ระบบ ERP อะไรคือหายนะที่รออยู่?
หลายธุรกิจ SME เริ่มต้นจากการใช้ Excel ในการติดตามและคำนวณต้นทุน ซึ่งอาจใช้ได้ดีในช่วงแรก แต่เมื่อธุรกิจเติบโตและมีจำนวนออเดอร์นำเข้ามากขึ้น วิธีการนี้จะกลายเป็นความเสี่ยงที่อาจสร้างความเสียหายร้ายแรง การเปรียบเทียบนี้จะแสดงให้เห็นว่าทำไมระบบอัตโนมัติจึงเป็นทางออกที่ยั่งยืนกว่า
Feature | Manual Method (Excel) | Automated System (ERP) |
---|---|---|
Accuracy | เสี่ยงต่อ Human Error สูงมาก จากการคีย์ข้อมูลผิดพลาดหรือใช้สูตรผิด | คำนวณอัตโนมัติจากข้อมูลที่เชื่อมโยงกัน ทำให้มีความแม่นยำสูง |
Real-time Data | ข้อมูลล่าช้า ไม่อัปเดต ต้องรอเอกสารและสรุปยอดตอนสิ้นเดือน | เห็นต้นทุนจริงของสินค้าได้ทันทีที่บันทึกค่าใช้จ่ายต่างๆ เข้าระบบ |
Scalability | จัดการยากเมื่อมี Shipment หรือ SKU สินค้าจำนวนมาก ไฟล์ซับซ้อนและช้าลง | รองรับการเติบโตของธุรกิจได้อย่างไร้รอยต่อ ไม่ว่าออเดอร์จะเยอะแค่ไหน |
Decision Making | ผู้บริหารตัดสินใจบนข้อมูลที่อาจผิดพลาด เสี่ยงต่อการตั้งราคาขาดทุน | ตัดสินใจจากข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นปัจจุบันเสมอ สร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน |
การเปลี่ยนมาใช้ ระบบ TAAX TEAM ERP ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนเครื่องมือ แต่เป็นการยกระดับการบริหารจัดการต้นทุนให้เป็นระบบและเป็นรากฐานที่มั่นคงสำหรับการเติบโตในอนาคต
3 ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการคำนวณ Landed Cost ที่ทำให้ SME ขาดทุน
การรู้สูตรคำนวณเป็นเพียงส่วนหนึ่ง แต่การหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดที่พบบ่อยก็สำคัญไม่แพ้กัน เพื่อให้คุณมั่นใจได้ว่าตัวเลขต้นทุนของคุณสะท้อนความเป็นจริงมากที่สุด
- ใช้อัตราแลกเปลี่ยนผิด: การใช้อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่สั่งซื้อ แทนที่จะเป็นวันที่ชำระเงินหรือวันที่กรมศุลกากรประเมิน อาจทำให้ต้นทุนคลาดเคลื่อนได้ โดยเฉพาะช่วงที่ค่าเงินผันผวน
- ลืมรวมค่าใช้จ่ายเล็กน้อย: ค่าธรรมเนียมเอกสาร, ค่าขึ้นลงตู้สินค้า, ค่าดำเนินการต่างๆ แม้จะดูเป็นจำนวนเงินไม่มาก แต่เมื่อรวมกันหลายๆ รายการก็ส่งผลกระทบต่อต้นทุนรวมได้อย่างมีนัยสำคัญ
- การปันส่วนต้นทุนไม่ถูกต้อง: นี่คือข้อผิดพลาดที่ร้ายแรงที่สุดข้อหนึ่ง ซึ่งเรามีคำแนะนำเพิ่มเติมให้
Pro Tip: การปันส่วนต้นทุน (Cost Allocation)อย่าเฉลี่ยค่าขนส่งเท่ากันทุกรายการหากสินค้ามีน้ำหนักหรือขนาดต่างกันมาก ควรปันส่วนต้นทุนค่าขนส่งตามน้ำหนัก (Weight) หรือปริมาตร (Volume) ของสินค้าแต่ละชนิด เพื่อให้ได้ต้นทุนต่อหน่วยที่แม่นยำที่สุด ป้องกันการตั้งราคาผิดพลาดสำหรับสินค้าชิ้นเล็กและชิ้นใหญ่
การคำนวณ Landed Cost อย่างแม่นยำไม่ใช่แค่เรื่องของการทำบัญชี แต่เป็นหัวใจสำคัญของกลยุทธ์การกำหนดราคาและการบริหารกำไร การลงทุนในระบบที่ช่วยให้คุณเห็นภาพต้นทุนที่แท้จริง คือการลงทุนในความมั่นคงและอนาคตของธุรกิจคุณ
หยุดกำไรที่รั่วไหล! ควบคุมต้นทุนนำเข้าให้แม่นยำ 100%
การคำนวณ Landed Cost ผิดพลาดเพียงครั้งเดียว อาจหมายถึงกำไรที่หายไปทั้งไตรมาส อย่าปล่อยให้ธุรกิจของคุณเสี่ยงกับข้อมูลที่ไม่แน่นอน ถึงเวลาเปลี่ยนมาใช้ระบบที่ออกแบบมาเพื่อปกป้องผลกำไรและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน
ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญฟรี รู้จัก TAAX TEAM ERP ดาวน์โหลดเทมเพลตคำนวณ Landed Cost (.xlsx)