Follow us                        เข้าสู่ระบบ     
ตรวจสอบกำลังการผลิต: SME รับมือออเดอร์ใหญ่ยังไงไม่ให้พัง?
คู่มือคำนวณ Capacity โรงงานฉบับจับมือทำ พร้อมวิธีใช้ระบบ ERP วางแผนอย่างมืออาชีพ เพื่อเปลี่ยนโอกาสให้เป็นการเติบโตที่ยั่งยืน
7 July, 2025 by
Taaxteam Post

ออเดอร์ใหญ่มาแล้ว! โอกาสทองหรือกับดัก? สัญญาณเตือนที่ SME ต้องรู้

เรื่องราวของคุณสมศักดิ์ เจ้าของโรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์ น่าจะเป็นสิ่งที่เจ้าของธุรกิจ SME หลายคนคุ้นเคย วันหนึ่งเขาได้รับโทรศัพท์ที่รอคอยมาทั้งชีวิต: ใบสั่งซื้อ (Purchase Order) ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์บริษัท มูลค่ามหาศาลพอที่จะเปลี่ยนอนาคตของธุรกิจไปตลอดกาล ด้วยความดีใจและกลัวเสียโอกาส คุณสมศักดิ์ตอบตกลงทันทีโดยไม่ได้ตรวจสอบกำลังการผลิตของตัวเองอย่างละเอียด ผลลัพธ์คือความฝันเกือบกลายเป็นฝันร้าย การได้รับออเดอร์ใหญ่อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ แต่การรับปากโดยไม่ประเมินศักยภาพที่แท้จริงของตัวเองก่อน อาจเปลี่ยนโอกาสทองให้กลายเป็นวิกฤตที่สร้างความเสียหายระยะยาวได้

ผลกระทบต่อเนื่อง: เมื่อ 'Say Yes' เร็วเกินไป ปัญหาอะไรจะตามมา?

การรับออเดอร์เกินกำลังผลิตไม่ได้จบแค่การทำงานหนักขึ้น แต่มันส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปทั่วทั้งองค์กร ตั้งแต่หน้างานการผลิตไปจนถึงความเชื่อมั่นของลูกค้าและทีมงาน นี่คือปัญหาหลักที่คุณต้องเจอ:

  • ส่งมอบล่าช้า: ปัญหาคลาสสิกที่ทำลายความน่าเชื่อถือของคุณในทันที ลูกค้าไม่พอใจ เสียเครดิต และอาจนำไปสู่การถูกปรับตามสัญญา
  • คุณภาพสินค้าตกต่ำ: เมื่อทุกอย่างเร่งรีบ กระบวนการตรวจสอบคุณภาพ (QC) อาจถูกลดทอนลง ทำให้มีของเสีย (Defect) เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการแก้ไขงาน
  • ต้นทุนพุ่งสูง: ค่าใช้จ่ายแฝงจะตามมาเป็นขบวน ทั้งค่าล่วงเวลา (OT) ของพนักงานที่เพิ่มขึ้น 25%+, ค่าขนส่งด่วนเพื่อเร่งหาวัตถุดิบ, และค่าเสียโอกาสจากการต้องหยุดรับงานอื่น
  • พนักงานหมดไฟ: ทีมงานที่ต้องทำงานหนักภายใต้ความกดดันและกระบวนการที่ติดขัดจะเริ่มเหนื่อยล้าและหมดกำลังใจ ซึ่งส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานในระยะยาว
  • เสียโอกาสในอนาคต: ผลกระทบที่ร้ายแรงที่สุดคือการสูญเสียลูกค้ารายใหญ่ไปตลอดกาล พวกเขาอาจไม่กลับมาสั่งซื้ออีก และอาจบอกต่อถึงประสบการณ์ที่ไม่ดีนี้ด้วย

พื้นฐานต้องรู้: กำลังการผลิต (Production Capacity) คืออะไร?

ก่อนที่เราจะไปถึงวิธีคำนวณ เราต้องเข้าใจตรงกันก่อนว่า Capacity Planning คือ การวางแผนทรัพยากรเพื่อให้สามารถผลิตสินค้าหรือบริการได้ตามเป้าหมาย โดยหัวใจของการวางแผนคือการทำความเข้าใจ "กำลังการผลิต" ของเราเอง ซึ่งประกอบด้วย 3 มิติหลัก ดังนี้

องค์ประกอบ คำอธิบาย
กำลังคน (Manpower) จำนวนชั่วโมงทำงานที่มีประสิทธิผลของพนักงานฝ่ายผลิตทั้งหมด ไม่ใช่แค่จำนวนคน แต่คือ 'เวลา' ที่พวกเขาสามารถทำงานได้จริง
เครื่องจักร (Machine) จำนวนชั่วโมงที่เครื่องจักรสามารถเดินเครื่องได้ โดยต้องหักลบเวลาหยุดซ่อมบำรุง (Downtime) ออกไปด้วย
วัตถุดิบ (Material) ความสามารถของฝ่ายจัดซื้อและซัพพลายเออร์ในการจัดหาวัตถุดิบให้ทันต่อความต้องการในการผลิตอย่างต่อเนื่อง

วิธีคำนวณกำลังการผลิตเบื้องต้น (ฉบับทำเอง)

คุณสามารถคำนวณ Capacity โรงงานเบื้องต้นได้ด้วยตัวเอง เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจก่อนรับออเดอร์ใหญ่ ลองทำตาม 4 ขั้นตอนง่ายๆ นี้

  1. Step 1: คำนวณชั่วโมงทำงานทั้งหมด (Available Hours)
    สูตร: (จำนวนพนักงานฝ่ายผลิต x ชั่วโมงทำงานต่อวัน x จำนวนวันทำงาน) x ประสิทธิภาพการทำงาน (Efficiency Rate)
    ตัวอย่าง: พนักงาน 10 คน x ทำงาน 8 ชม./วัน x 22 วัน/เดือน x ประสิทธิภาพ 85% = 1,496 ชั่วโมงทำงานที่มีอยู่จริงต่อเดือน
  2. Step 2: หาเวลามาตรฐานต่อหน่วย (Standard Time per Unit)
    จับเวลาจริงในการผลิตสินค้า 1 ชิ้นโดยเฉลี่ย ตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการ อาจต้องจับเวลาหลายๆ ครั้งแล้วหาค่าเฉลี่ยเพื่อให้ได้ตัวเลขที่แม่นยำที่สุด
  3. Step 3: คำนวณกำลังการผลิตสูงสุด (Calculate Maximum Capacity)
    สูตร: ชั่วโมงทำงานทั้งหมด / เวลามาตรฐานต่อหน่วย
    ตัวอย่าง: 1,496 ชั่วโมง / 0.5 ชั่วโมงต่อชิ้น = ผลิตได้สูงสุด 2,992 ชิ้นต่อเดือน
  4. Step 4: เปรียบเทียบกับออเดอร์
    นำจำนวนที่คำนวณได้ (2,992 ชิ้น) มาเทียบกับจำนวนออเดอร์ที่ลูกค้าต้องการและเดดไลน์ที่ให้มา เพื่อดูว่าคุณมีความสามารถพอที่จะรับงานนี้หรือไม่

ตัดสินใจด้วยสัญชาตญาณ vs. ข้อมูล: ต้นทุนที่มองไม่เห็น

การคำนวณข้างต้นช่วยให้เห็นภาพชัดขึ้น แต่ในโลกความจริงมีปัจจัยซับซ้อนกว่านั้นมาก การตัดสินใจโดยอาศัยความรู้สึกหรือ 'Gut Feeling' เพียงอย่างเดียวจึงมีความเสี่ยงสูงและอาจสร้างต้นทุนแฝงมหาศาล ลองดูความแตกต่างระหว่างการตัดสินใจสองรูปแบบนี้

ตัดสินใจด้วยความรู้สึก (Gut Feeling) ตัดสินใจด้วยข้อมูล (Data-Driven)
'น่าจะทำทันแหละ เร่งๆ หน่อย' 'จากข้อมูล เราผลิตได้ 5,000 ชิ้นใน 20 วัน แต่ลูกค้าต้องการ 6,000 ชิ้น'
'สต็อกของใน คลังสินค้า น่าจะพอใช้' 'ระบบแจ้งว่าวัตถุดิบ X ขาดอีก 200 หน่วย ต้องสั่งเพิ่มภายในวันอังคาร'
'รับปากลูกค้าไปก่อน แล้วค่อยแก้ปัญหาทีหลัง' 'เราสามารถส่งมอบล็อตแรก 3,000 ชิ้นได้วันที่ 15 และล็อตสองอีก 3,000 ชิ้นวันที่ 30'
ความเสี่ยงสูง, กำไรไม่แน่นอน, เครียด ลดความเสี่ยง, วางแผนต้นทุนและกำไรได้แม่นยำ, ควบคุมสถานการณ์ได้

ก้าวข้ามข้อจำกัด: บริหาร Capacity อย่างมืออาชีพด้วยระบบ ERP

จะเห็นว่าการคำนวณด้วยมือมีความซับซ้อน เสียเวลา และเสี่ยงต่อความผิดพลาดจากข้อมูลที่ไม่ Real-time นี่คือจุดที่ ระบบ ERP สำหรับ SME เข้ามามีบทบาทสำคัญ ERP (Enterprise Resource Planning) คือเครื่องมือที่เชื่อมโยงข้อมูลทุกส่วนของธุรกิจ ตั้งแต่การขาย, สต็อก, การผลิต, และบัญชีไว้ในแพลตฟอร์มเดียว ทำให้ผู้บริหารเห็นภาพรวมของกำลังการผลิตที่แท้จริงแบบ Real-time

แทนที่จะต้องคำนวณด้วยมือ ระบบ TAAX TEAM ERP สามารถดึงข้อมูลชั่วโมงทำงานของพนักงาน, สถานะเครื่องจักร, และจำนวนวัตถุดิบในสต็อกมาคำนวณให้อัตโนมัติ ช่วยให้คุณตอบลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ การจัดการออเดอร์ใหญ่จึงไม่ใช่เรื่องน่าปวดหัวอีกต่อไป แต่เป็นไปตามแผนที่วางไว้อย่างเป็นระบบ ดังที่ Harvard Business Review ชี้ว่าซัพพลายเชนที่คล่องตัวและปรับตัวได้คือหัวใจของความสำเร็จในปัจจุบัน

Pro Tip: จุดที่แตกต่างที่สุดคือ ERP ไม่ได้แค่คำนวณ Capacity ณ ปัจจุบัน แต่สามารถจำลองสถานการณ์ (Simulation) ได้ว่า 'ถ้า' รับออเดอร์นี้เข้ามา จะส่งผลกระทบต่อออเดอร์อื่นที่ค้างอยู่และสต็อกวัตถุดิบอย่างไร ทำให้คุณเห็นภาพอนาคตก่อนตัดสินใจ ดูตัวอย่าง Workflow การจัดการธุรกิจ ที่ช่วยให้เห็นภาพชัดขึ้น

พร้อมเปลี่ยนออเดอร์ใหญ่ให้เป็นโอกาสเติบโตที่ยั่งยืนแล้วหรือยัง?

การจัดการกำลังการผลิตไม่ใช่แค่เรื่องทางเทคนิค แต่เป็นหัวใจของการวางกลยุทธ์ธุรกิจ ทีมผู้เชี่ยวชาญของเราพร้อมให้คำปรึกษาเพื่อวิเคราะห์และวางระบบที่เหมาะสมกับธุรกิจ SME ของคุณโดยเฉพาะ เพื่อให้คุณพร้อมสำหรับทุกโอกาสสำคัญ

ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญฟรี ดู Case Study
Taaxteam Post 7 July, 2025
Share this post
Tags